“รอยสิวที่หลัง” หรือที่เรียกกันว่า Back Acne (Bacne) ไม่เพียงแต่สร้างความไม่สบายตัวเวลาสวมเสื้อผ้า แต่ยังทิ้งรอยสิวเอาไว้ ซึ่งอาจจะเป็นรอยแดง รอยดำ หรือรอยแผลเป็น ทำให้สูญเสียความมั่นใจเวลาใส่เสื้อผ้าโชว์แผ่นหลัง สวมเสื้อเปิดไหล่ หรือใส่ชุดว่ายน้ำ โดยในบทความนี้ จะพาไปดูสาเหตุที่ทำให้หลังเป็นสิว พร้อมแชร์วิธีรักษารอยสิวที่หลังแบบเร่งด่วน ต้องทำยังไง มาดู
รอยสิวที่หลัง เกิดจากอะไร?
สาเหตุที่ทำให้หลังเป็นสิวนั้น เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนจากไขมันส่วนเกิน เหงื่อ และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งจะทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียและนำไปสู่การอักเสบนั่นเอง โดยปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวที่หลัง ได้แก่ ความเครียด, การพักผ่อนน้อย, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเมื่อมีประจำเดือน, การใส่เสื้อผ้ารัดแน่น, เหงื่อที่สะสมจากการออกกำลังกาย และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน เช่น ครีมหรือยาสระผมบางชนิด
ประเภทของรอยสิวที่หลัง
- สิวอุดตันหรือสิวหัวขาว : เป็นรอยสิวที่หลังที่เกิดจากการอุดตันของหัวสิวภายในรูขุมขน
- สิวหัวดำ : เป็นรอยสิวที่หลังที่เกิดจากปฏิกิริยาของไขมันและอากาศทำให้รูขุมขนที่เปิดอยู่เกิดการอุดตัน
- สิวอักเสบตุ่มนูนแดง : เป็นรอยสิวที่หลังที่เกิดจากการอักเสบของงสิวอุดตัน เมื่อเป็นสิวประเภทนี้ห้ามบีบเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เป็นรอยแผลเป็นได้
- สิวอักเสบหัวหนอง : เป็นรอยสิวที่หลังที่เกิดจากการอักเสบขั้นรุนแรงของสิวอุดตัน ไม่ควรแกะหรือบีบเช่นกัน เพราะอาจทำให้เป็นจุดด่างดำที่หลังได้
- สิวอักเสบแดงก้อนลึก : เป็นรอยสิวที่หลังที่เกิดจากการอักเสบของสิวอุดตันซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง โดยจะมีขนาดใหญ่และแข็งมากกว่าสิวปกติ
- สิวหัวช้างหรือสิวซีสต์ : เป็นรอยสิวที่หลังที่มีลักษณะเป็นหนองขนาดใหญ่ ควรรักษาอย่างถูกวิธีเพื่อไม่ให้เกิดรอยแผล และอักเสบมากกว่าเดิม
รักษารอยสิวที่หลังแบบเร่งด่วน
1. ทำความสะอาดที่ถูกวิธี
รักษารอยสิวที่หลังแบบเร่งด่วนที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ก็คือการทำความสะอาดให้ถูกวิธี โดยใช้สบู่หรือเจลอาบน้ำที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA หรือ Tea Tree Oil เพื่อช่วยลดการอุดตันและผลัดเซลล์ผิว และหลีกเลี่ยงการใช้ฟองน้ำหรือใยขัดผิวแรง ๆ เพราะจะกระตุ้นให้รอยสิวชัดขึ้น หากมีการออกกำลังกายมา ควรอาบน้ำภายใน 30 นาทีหลังเหงื่อออก เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียสะสม ซึ่งจะทำให้หลังเป็นสิวได้
2. ใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยลดรอยสิวที่หลัง
ผลิตภัณฑ์ลดรอยสิวที่หลัง มีให้เลือกหลายแบรนด์หลายยี่ห้อ เช่น ยาทาสิว Benzac (Benzoyl Peroxide) หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีส่วนผสมของ Niacinamide, Vitamin C, AHA, BHA หรือ Retinol ซึ่งจะช่วยลดรอยดำของสิวที่หลังและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอมากขึ้น ทั้งยังป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้ โดยควรใช้เป็นประจำหลังอาบน้ำ วันละ 1–2 ครั้ง
3. สครับผิวลดรอยสิวที่หลัง
การสครับผิวอย่างอ่อนโยน อย่างน้อย 1–2 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็สามารถช่วยลดรอยสิวที่หลังได้ โดยควรเลือกสครับให้ถูกกับประเภทของสิว มีเนื้อละเอียด และมีส่วนผสมที่อ่อนโยนต่อผิว นอกจากนี้ ในการสครับผิว ไม่ควรขัดผิวแรง ๆ เพราะอาจทำให้สิวมีรอยเข้มขึ้นหรือเกิดการอักเสบได้
4. เลเซอร์หรือทรีตเมนต์ที่คลินิก
หากรอยสิวที่หลังมีสีเข้มมาก ๆ หรือเป็นรอยแผลเป็น แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาให้ตรงจุด เช่น การทำเลเซอร์ลดรอยดำรอยแดง การกอกรอผิว หรือผลัดเซลล์ด้วยกรด หรือการทำทรีตเมนต์กลุ่มคลินิก ซึ่งวิธีนี้จะช่วยรักษารอยสิวที่หลังแบบเร่งด่วนให้หายไวได้มากที่สุด แต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าวิธีอื่น ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อมีรอยสิวที่หลัง
- การเกา การแกะ หรือบีบสิวที่หลัง เพราะจะทำให้เกิดรอยหรือแผลเป็นถาวรได้
- การขัดผิวอย่างรุนแรง เพราะอาจไปกระตุ้นการอักเสบของสิวที่หลัง
- การใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ไม่ดี หรือเสียดสีบ่อย เช่น เสื้อรัดรูป ทำให้มีและเหงื่อสะสมจนเป็นสาเหตุของรอยสิวที่หลัง
- การใช้โลชั่นหรือออยล์ที่อุดตันง่ายบริเวณหลัง เช่น mineral oil
- การไม่ทำความสะอาดเครื่องนอน ทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรีย
- การไม่อาบน้ำ และปล่อยให้เหงื่อรวมถึงคราบสกปรกสะสมในร่างกายเป็นเวลานาน
การดูแลรอยสิวที่หลังไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องใช้ความสม่ำเสมอ และดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ ควรเลือกวิธีรักษารอยสิวที่หลังที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง หากลองดูแลเบื้องต้นแล้วรอยไม่จางลงภายใน 1–3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือคลินิกที่เชี่ยวชาญเพื่อแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสม