“สิวหัวช้าง” หรือที่หลายคนเรียกกันว่า สิวซีสต์ (Cystic Acne) เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่สุด มักมีขนาดใหญ่ เจ็บปวด บวมแดง และหากปล่อยทิ้งไว้อาจทิ้งรอยแผลเป็นที่รักษายากไว้บนใบหน้า โดยในบทความนี้ Pimplecenter จะพามาหาคำตอบ สิวหัวช้าง เกิดจากอะไร และมีวิธีรักษาและดูแลอย่างไร ป้องกันยังไงไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
สิวหัวช้าง เกิดจากอะไร?
1. การอุดตันของรูขุมขนและต่อมไขมัน
สิวหัวช้าง เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนและต่อมไขมัน เมื่อร่างกายผลิตน้ำมัน (Sebum) มากเกินไป เมื่อรวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรกบนใบหน้า ก็จะทำให้รูขุมขนอุดตัน จนเกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ส่งผลให้เกิดสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่เรียกว่าสิวหัวช้างนั่นเอง
2. ฮอร์โมนแปรปรวน
สาเหตุของสิวหัวช้าง เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น วัยเจริญพันธุ์ หรือช่วงก่อนมีประจำเดือน ฮอร์โมนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศชาย หรือฮอร์โมน Androgen) จะทำให้ต่อมไขมันทำงานหนัก จนก่อให้เกิดสิวหัวช้างได้ง่ายนั่นเอง
3. พันธุกรรม
ปัจจัยทางพันธุกรรม มีเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวหัวช้างได้เช่นกัน หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นสิวอักเสบเรื้อรังหรือสิวหัวช้าง ก็มีแนวโน้มสูงที่ลูกหลายรุ่นถัดไป จะมีปัญหาผิวในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากโครงสร้างผิวและการทำงานของต่อมไขมันอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
4. ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะ “เครียดเรื้อรัง” จะมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) เพิ่มขึ้น ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้กระตุ้นให้สิวเห่อขึ้นง่าย และทำให้สิวที่มีอยู่แล้วอักเสบรุนแรงขึ้น ยิ่งถ้ามีการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็จะยิ่งทำให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้ช้าลง เพิ่มโอกาสเกิดสิวหัวช้างได้มากขึ้น
5. พฤติกรรมการใช้ชีวิต
สิวหัวช้าง เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตด้วยเช่นเดียวกัน เช่น ใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่เหมาะกับหน้า, ไม่ล้างหน้าให้สะอาด, นอนหลับไปพร้อมเครื่องสำอางบนหน้า, กินอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง เช่น ของทอด ของหวาน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวหัวช้างขึ้นได้ง่าย
ลักษณะของสิวหัวช้าง
- ขนาดของสิวหัวช้างใหญ่มาก ทั้งยังนูน และแดง
- มักมาพร้อมอาการปวด บวม กดแล้วเจ็บ
- ไม่มีหัวสิวชัดเจนเหมือนสิวอุดตันหรือสิวหนองทั่วไป
- มักเกิดที่บริเวณใบหน้า สิวขึ้นคาง กราม หลัง หรือหน้าอก
- หากปล่อยไว้อาจกลายเป็นรอยดำ รอยหลุมสิว หรือแผลเป็นถาวร
สิวหัวช้าง รักษาอย่างไร?
1. การดูแลเบื้องต้นด้วยตนเอง
- ไม่บีบสิวหัวช้าง เพราะจะทำให้อักเสบลึกขึ้น และเสี่ยงทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนใบหน้า
- ประคบเย็น บริเวณที่บวมเพื่อลดการอักเสบและอาการเจ็บ
- ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยนที่ไม่ทำให้ผิวแห้งเกินไป
- เลือกสกินแคร์ที่เหมาะกับผิวเป็นสิว เช่น สกินแคร์ที่มีส่วนผสม Salicylic Acid, Niacinamide หรือ Tea Tree Oil
2. ยาทาภายนอก
- ใช้ยาทาสิว Benzoyl Peroxide ลดเชื้อแบคทีเรียและการอักเสบ
- เรตินอยด์ (Retinoids) เช่น Adapalene ช่วยลดการอุดตันในรูขุมขน
- ยาปฏิชีวนะชนิดทา เช่น Clindamycin ใช้ในบางกรณี ภายใต้คำแนะนำแพทย์
3. ยารับประทาน
- ยาปฏิชีวนะ เพื่อลดการอักเสบ (ใช้ตามดุลยพินิจแพทย์)
- ยาคุมกำเนิดฮอร์โมน ช่วยควบคุมสิวในผู้หญิงที่เกิดจากฮอร์โมน
- Isotretinoin ยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวหัวช้าง แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะมีผลข้างเคียงหลายอย่าง
4. การรักษาทางการแพทย์
- ฉีดสิว ช่วยลดการอักเสบเฉพาะจุด ทำให้สิวยุบเร็ว
- เลเซอร์รักษาสิว ลดการอักเสบและรอยสิว
- กดสิวหรือผ่าตัดสิว ทำโดยแพทย์ผิวหนังเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อและแผลเป็น
วิธีรักษาสิวหัวช้างภายใน 1 วัน
สำหรับวิธีรักษาสิวหัวช้างภายใน 1 วันนั้น สามารถทำได้ด้วยการฉีดสิวด้วยยา triamcinolone ซึ่งเป็นยาที่จะช่วยลดการอักเสบและทำให้สิวหัวช้างยุบตัวลงภายใน 24 ชั่วโมง แต่ต้องทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพื่อความปลอดภัย
วิธีป้องกันสิวหัวช้าง ไม่ให้เกิดซ้ำ
- รักษาความสะอาดผิวหน้าและร่างกาย
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-Comedogenic)
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารมันจัด และหวานจัด
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อปรับสมดุลฮอร์โมน
- ตรวจสุขภาพผิวกับแพทย์ หากเป็นสิวเรื้อรัง
สิวหัวช้าง เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งฮอร์โมน พันธุกรรม การใช้ชีวิต และพฤติกรรมการดูแลผิว โดยจะมีลักษณะเป็นก้อนสิวขนาดใหญ่ กดแล้วเจ็บ หากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นบนใบหน้า โดยสิวหัวช้าง รักษาได้ด้วยการดูแลใบหน้า ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว หรือใช้ยารักษาสิว (ภายใต้คำแนะนำของแพทย์)